บันทึกของเสด็จในกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์
เจอบันทึกนี้ ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรับรู้ว่า
กู กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ผู้เป็นโอรสของพระปิยะมหาราช
ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า
แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษได้เอาเนื้อเอาชีวิตเข้าแลกไว้
ไอ้อีผู้ใดมัน คิดบังอาจทำลายแผ่นดิน
ทำลายชาติ ทำลายศาสนา พระมหากษัตริย์
ฤากระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือนร้อนต่อส่วนรวม
จงหยุดคิดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว
ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม
อันเป็นที่รักของกู ตราบใดที่คำว่าอาภากร
ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาแผ่นดินสยามของกู
ลูกหลานทั้งหลาย
แผ่นดินใดให้กำเนิดเรามา แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน
ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มิให้อนาทรร้อนใจ
จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น
พระประสูติกาล
พระประสูติกาล พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ (ต้นราชสกุล อาภากร) ทรงเป็น พระเจ้าลูกยาเธอ ในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ ๕ นับลำดับ ราชสกุลวงศ์เป็นพระองค์ที่ ๒๘ มีพระนามเดิมว่า "พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์" ประสูติใน พระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๓ ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง จุลศักราช ๑๒๔๒ เวลา ๑๔.๕๗ และทรงเป็น พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุยาสุรวงศ์ ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) พระองค์ทรงมีพระกนิษฐา และพระอนุชา ร่วมพระมารดา ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุพา (สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์) และพระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธ์
การศึกษา เมื่อเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ยังทรงพระเยาว์ ทรงได้รับการศึกษาชั้นแรก ในพระบรมมหาราชวัง มีพระยาอิศรพันธ์โสภร (พูน อิศรางกูร) เป็นพระอาจารย์ และทรงศึกษา ภาษาอังกฤษกับ Mr.Morant ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ และได้ทรงเข้าเป็นนักเรียน ในโรงเรียนหลวง ณ พระตำหนักสวนกุหลาบ อยู่จนถึงทรงโสกันต์
ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ เมื่อเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงมีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ พร้อมกับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ซึ่งในขณะนั้น ทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ โดยมีเจ้าพระยา พระเสด็จสุเรนทราธิบดี เมื่อครั้งมีบรรดาศักดิ์ เป็นสมเด็จพระมนตรีพจนกิจ เป็นพระอภิบาล ได้เสด็จออกจากกรุงเทพฯ โดย ร.ล.มกุฎราชกุมาร (ลำที่ ๑ ) เมื่อ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ไปยังสิงคโปร์ ต่อจากนั้น ได้ทรงโดยสารเรือเมล์ ชื่อ "ออเดรเบิด" ไปถึงเมืองตูรินในอิตาลี เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม แล้วเสด็จโดยทางรถไฟ ไปยัง กรุงปารีส และลอนดอนตามลำดับ ในขั้นแรก เสด็จในกรมฯ ได้เสด็จประทับ ร่วมกับ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าฯ ที่ "ไบรตัน" และ "แอสคอต" เพื่อทรงศึกษาภาษา และวิชาเบื้องต้น เสด็จในกรมฯ ได้เคยตามเสด็จ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าฯ ไปเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถ วิคตอเรีย ที่พระราชวังวินด์เซอร์ ตลอดจนตามเสด็จ ไปทัศนศึกษาทั้งในอังกฤษ และประเทศในยุโรป จนกระทั่งถึงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ เสด็จในกรมฯ จึงเสด็จไป เข้าโรงเรียนส่วนบุคคล สำหรับกวดวิชา เพื่อเตรียมเข้าศึกษา ในโรงเรียนนายเรืออังกฤษ ต่อไป โรงเรียนที่ทรงไปกวดวิชานี้มีชื่อ ว่า The Seines ตั้งอยู่แขวงกรีนิช ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของกรุงลอนดอน มีนาย Littlejohns เป็นครูใหญ่ ผลการศึกษานี้ พระอภิบาล ได้ทรงกราบบังคมทูลรายงานว่า
"... ความรู้ภาษาอังกฤษดีขึ้นตามธรรมดา แต่วิชากระบวนทหารเรือชั้นต้น ก็วิ่งขึ้นเร็วตามสมควร แต่การเล่นแข็งแรง เช่น ฟุตบอล เป็นต้น นับว่าเป็นชั้นยอดของโรงเรียน เกือบว่าไม่มีใครอาจเข้าเทียบเทียม..."
ทรงศึกษาในโรงเรียนนายเรืออังกฤษ
เมื่อเสด็จในกรมฯ ทรงกวดวิชาแล้ว จึงเข้าศึกษาต่อใน โรงเรียนนายเรืออังกฤษ ในราวปี พ.ศ.๒๔๙๓ การศึกษา ในโรงเรียนนายเรือ ของอังกฤษนั้น จะต้องฝึกหัดศึกษา หลับนอน อยู่ในเรือ ประมาณ ๓-๔ เทอม เมื่อสอบความรู้ได้แล้ว จะมีฐานะเป็น นักเรียนทำการนายเรือ (Midshipman) และไปฝึกในเรือรบ ประจำกองเรือต่างๆ อีกประมาณ ๑-๒ ปี และก็จะทำการสอบ เพื่อเป็นนายเรือตรี ต่อจากนั้น ศึกษาต่อ ในมหาวิทยาลัยทหารเรือ โรงเรียนปืนใหญ่ และโรงเรียนตอร์ปิโด จนได้เลื่อนยศเป็นเรือเอก เท่ากับนายทหารรุ่นเดียวกัน เมื่อเสด็จในกรมฯ ทรงเป็นนักเรียนทำการนายเรือ ในราชนาวีอังกฤษ ทรงเล่าว่า "...เมื่อเป็นนักเรียนทำการนายเรือ ในราชนาวีอังกฤษ ได้มีโอกาสขึ้นทำการปราบจลาจล ที่เกาะครีท ที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเวลาราว ๓ เดือน ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย หนาวก็หนาว ในสนามรบ ต้องนอนกับศพที่ตายใหม่ๆ และบางคราว ซ้ำยังอดอาหาร ต้องจับหอยทาก มาเสวยกับหัวหอม ศพที่ถูกยิงที่ท้องนับว่าเหม็นร้ายกาจมาก ถึงจะเป็นศพตายใหม่ๆ ก็ตาม..." รวมเวลาที่เสด็จในกรมฯ ทรงศึกษาอยู่ในราชนาวีอังกฤษ ๖ ปีเศษ
ในขณะที่เสด็จในกรมฯ ทรงเป็นนักเรียนนายเรือ อยู่ที่ประเทศอังกฤษนั้น ประจวบกับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จประพาสยุโรป เป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๐ เสด็จในกรมฯ ทรงขอลาทางโรงเรียน มารับเสด็จ สมเด็จพระบรมชนกนาถ โดยเข้าร่วมกระบวนเสด็จ ที่เกาะลังกา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับตำแหน่ง นักเรียนนายเรือ ในเรือพระที่นั่งมหาจักรี ภายใต้การบังคับบัญชา ของผู้บัญชาการเรือ และได้ทรงถือท้าย เรือพระที่นั่งมหาจักรี ด้วยพระองค์เอง เพื่อทรงแสดงความสามารถ ให้ปรากฏแก่พระเนตร สมเด็จพระบรมชนกนาถ นอกจากนั้น ในลายพระหัตถเลขาของ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ ที่พระราชทาน สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ได้กล่าวถึง เสด็จในกรมฯ ความว่า
"...ในเวลาที่เขียนหนังสืออยู่นี้ อาภากร กับหลวงสุนทรมาถึง อาภากรโตขึ้นมาก และขาวขึ้น เขาแต่งตัวมิดชิพแมน (Midshipman) มาพร้อมแล้ว ฉันได้มอบให ้อยู่ในบังคับ กัปตัน เป็นสิทธิขาด เว้นแต่วันนี้ เขาอนุญาตให้มากินข้าว กับฉันวันหนึ่ง..." เมื่อเสด็จในกรมฯ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ ในเรือพระที่นั่งมหาจักรีแล้ว สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงมีพระราชปรารภ เกี่ยวกับเสด็จในกรมฯ ว่า "...ชายอาภากรนั้น อัธยาศัยเป็นคนซื่อมาแต่เดิม เป็นผู้ที่สมควรแก่วิชาที่เรียนอยู่แล้ว ไม่เป็นคนที่มีอัธยาศัย ที่จะใช้ฝีปากได้ ในกิจการพลเรือน แต่ถ้าเป็นการในหน้าที่อันเดียว ซึ่งชำนาญ คงจะมั่นคงในทางนั้น และตรงไปตรงมา การที่ได้พบคราวนี้ นับว่าอัธยาศัยดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก" เมื่อพระองค์ได้ตามเสด็จ สมเด็จพระบรมชนกนาถ ไปในเรือพระที่นั่ง จนถึงประเทศอังกฤษแล้ว จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ ต่อไป หลังจากทรงสำเร็จ การศึกษาที่โรงเรียนนายอังกฤษแล้ว ก็เสด็จกลับประเทศไทย โดยทางเรือ ดังปรากฏรายละเอียด ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๗ ร.ศ.๑๑๙ ดังนี้
"...ได้เสด็จลงเรือเมล์เยอรมัน ชื่อ "เบเยน" ที่เมืองเยนัว เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๙ วันที่ ๗ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๙ ถึงเมืองสิงคโปร์ หลวงภักดีบรมนารถ และหลวงสุนทรโกษา ได้ออกรับเสด็จ ได้เสด็จพักอยู่ที่สิงคโปร์ คืนหนึ่ง รุ่งขึ้นวันที่ ๘ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๙ ได้เสด็จลงเรือเมล์ชื่อ "สิงคโปร์" ออกจากสิงคโปร์ ต่อมาวันที่ ๑๑ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๙ เวลาทุ่มเศษถึงปากน้ำ โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิทยาลาภพฤฒิธาดา และพระยาสีหราชเดโชไชย หลวงปฏิยัตินาวายุกต์ นำเรือสุริยะมณฑล ออกไปคอยรับเสด็จอยู่ ณ ที่นั้นแล้วทรงเรือไฟ มาขึ้นที่เมืองสมุทรปราการ ทางรถไฟจากที่นั่น มาถึงสเตชั่นหัวลำพองเวลายามเศษ แล้วเสด็จทรงรถต่อไป พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเสด็จพระราชดำเนิน โดยรถยนต์พระที่นั่ง เพื่อเสด็จไปรับ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ที่สเตชั่นรถไฟ เสด็จถึงแล้ว ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในรถพระที่นั่ง ที่ถนนเจริญกรุง แล้วเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง ครั้นรุ่งขึ้น วันที่ ๑๒ มิถุนายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๙ เวลาสองทุ่มเศษ โปรดเกล้าฯ ให้มีการเลี้ยง พระบรมวงศานุวงศ์ พระราชทาน เป็นเกียรติแก่ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้า อาภากรเกียรติวงศ์ ที่พลับพลาสวนดุสิตด้วย..."
เสด็จในกรมฯ จึงนับเป็น พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์แรก ของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้เสด็จไปทรงศึกษา เกี่ยวกับ วิชาการทหารเรือ ยังต่างประเทศ ทั้งนี้เพราะ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ ทรงมีพระราชดำริว่า
"...กิจการทหารเรือไทย เท่าที่ได้เป็นอยู่ในขณะนั้น ต้องอาศัยชาวต่างประเทศ เป็นผู้บังคับบัญชาการเรือ และป้อม อยู่เป็นอันมาก จึงไม่สู้ จะมีความมั่นคงเท่าใดนัก ดังจะเห็นได้จาก เหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๖๓) เป็นตัวอย่างอันดี ฉะนั้น จึงนับว่า เป็นพระราชดำริ ที่เหมาะสม ในการส่ง พระราชโอรส ไปทรงศึกษา วิชาการทหารเรือในครั้งนี้..."
ทรงรับราชการทหารเรือ
หลังจากที่เสด็จในกรมฯ เสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ในวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๓ จึงได้รับ พระราชทานยศ เป็น นายเรือโท (เทียบเท่า นาวาตรีในปัจจุบัน) ทั้งนี้ ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ จะให้เป็น ผู้บังคับการเรือปืน ที่กำลังจัดซื้อ คือ ร.ล.พาลีรั้งทวีป หรือ ร.ล.สุครีพครองเมือง ลำใดลำหนึ่ง ในขั้นแรก ทรงรับราชการ ในตำแหน่ง "แฟลคเลบเตอร์แนล" (นายธง) ของผู้บัญชาการกรมทหารเรือ คือ พลเรือโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปคม เสด็จในกรมฯ ได้ทรงสำรวจการป้องกัน ลำน้ำเจ้าพระยา และได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานต่อ ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ โดยละเอียด ทรงริเริ่มกำหนด แบบสัญญาณธงสองมือ และโคมไฟ ตลอดจนเริ่มฝึกพล "พลอาณัติสัญญา" (ทัศนสัญญาณ) ขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ พลเรือโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปคม ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ทรงพอพระทัย ในการปฏิบัติงานของ เสด็จในกรมฯ มาก ทรงยกย่องว่า ทรงมีความรู้จริง และมีความกระตือรือร้น ที่จะทำงาน
ในวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๔ เสด็จในกรมฯ ได้รับพระราชทานยศ เป็นนายเรือเอก (เทียบเท่า นาวาเอกในปัจจุบัน) และได้ตามเสด็จ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสชวา ในเรือพระที่นั่งมหาจักรี ในระหว่างวันที่ ๕ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ ครั้นต่อมา ในวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๔ จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เป็น รองผู้บัญชาการ กรมทหารเรือ ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๗ ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศ เสด็จในกรมฯ จากนาวาเอก เป็นพลเรือตรี และคงทรงดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ครั้นในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ในปีเดียวกันนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยศ เป็น กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์
พีธีสมรสพระราชทาน
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช ทรงเป็น พระราชโอรส ลำดับที่ ๔๕ในรัชกาลที่ ๔ และทรงเป็น พระอนุชา ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงพระเมตตา และสนิทสนมยิ่งนัก (ทรงเป็น "เสด็จตา" ของพระองค์เจ้าภาณุพพันธ์ยุคล)
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีฯ ทรงมีพระธิดาองค์โต หม่อมเจ้าหญิงทิพยสัมพันธ์ ครั้นพอเสด็จในกรมฯ สำเร็จการศึกษาจากอังกฤษ กลับมารับราชการแล้วนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ก็ได้ทรงสู่ขอพระธิดาองค์โต ของพระอนุชามาพระราชทานเสกสมรสให้
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีงานมงคลพิธี ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระราชทานน้ำพระมหาสังข์ มีเลี้ยงน้ำชา ประชุมพระบรมวงศานุวงศ์ และมีงานราตรีสโมสร ซึ่งถือว่า เป็นครั้งแรกที่พิธีเสกสมรส จัดงานราตรีสมโภชคู่บ่าวสาว ให้เชิญทั้งไทย ทั้งฝรั่ง มีการเต้นรำอย่างธรรมเนียมสากลด้วย เป็นพิเศษ และ พระราชทานวังใหม่ ให้ที่ริมคลองผดุงกรุงเกษม
แต่ทว่าเป็นที่สลดสะเทือนใจนัก เพราะหลังจากเสกสมรสไม่กี่ปีต่อมา ความรักของหม่อมเจ้าหญิงทิพยสัมพันธ์ กับเสด็จในกรมฯ ก็มิได้ราบรื่นงดงาม ตามพระประสงค์ของ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง หม่อมเจ้าหญิงทิพย์สัมพันธ์ ทรงมีเหตุให้น้อยพระทัย พระสวามี ทรงดื่มยาพิษ สิ้นชีพิตักษัย
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงสลดพระทัยนัก เนื่องเพราะทรงเป็นผู้สู่ขอ ด้วยพระองค์เอง และทรงเป็นพระปิตุลาโดยตรง ของหม่อมเจ้าหญิงอีกด้วย เหตุนี้ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จึงทรงมีพระเมตตา ต่อพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ของหม่อมเจ้าหญิงเป็นพิเศษ ทรงโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นเป็นพระองค์เจ้า คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และเป็น "หลานรัก" ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงพระเมตตาเอ็นดูเป็นพิเศษ
พระโอรสและพระธิดา
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มีพระโอรสเกิดแก่หม่อมเจ้าทิพย์สัมพันธ์ พระชายา พระธิดาจอมพลเรือ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมวงศาภิมุข เจ้าฟ้า กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช ๒ พระองค์ คือ
๑. พลโท พลเรือโท พลอากาศโท พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา
๒. พลอากาศโท หม่อมเจ้ารังษิยากร อาภากร
พระโอรสและพระธิดา อันเกิดแก่หม่อม ดังรายพระนาม ต่อไปนี้
๑. หม่อมเจ้าหญิง จารุพัตรา อาภากร
๒. หม่อมเจ้าหญิง ศิริมาบังอร (อาภากร) เหรียญสุวรรณ
๓. หม่อมเจ้า สมรบำเทอง อาภากร
๔. หม่อมเจ้าหญิง เริงจิตรแจรง อาภากร
๕. พันเอก หม่อมเจ้าดำแคงฤทธิ์ อาภากร
๖. พลเรือเอกหม่อมเจ้าครรชิต อาภากร
๗. หม่อมเจ้ารุจยากร อาภากร
เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ
ในวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๘ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นาวาเอก หม่อมไพชยนต์เทพ (ม.ร.ว.พิณ สนิทวงศ์) เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ออกจากราชการ ตามที่ได้กราบบังคมทูลลา ฉะนั้น จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ ทรงทำการในตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ จนถึง พ.ศ.๒๔๔๙ จึงได้ทรงเป็น เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ
เมื่อเสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือแล้ว ได้ทรงแก้ไข ปรับปรุงการศึกษา ระเบียบการ ในโรงเรียนนายเรือทุกอย่าง ทั้งฝ่ายปกครอง และฝ่ายวิชาการ ให้รัดกุม ทัดเทียมอารยะประเทศ เพื่อให้ผู้ที่ สำเร็จการศึกษา จากโรงเรียนนี้ เป็นนายทหารเรือ ที่มีความรู้ความสามารถเสมอด้วยกับ นายทหารเรือต่างประเทศ และสามารถทำการแทน ในตำแหน่งชาวต่างประเทศที่รับราชการ อยู่ในกองทัพเรือในขณะนั้นอีกด้วย
พระบิดาแห่งราชนาวีไทย
ถึงแม้ว่าเสด็จในกรมฯ จะทรงแก้ไข ปรับปรุง ระเบียบการศึกษา ให้มีความก้าวหน้า แต่สถานที่ตั้ง โรงเรียนนายเรือนั้น ไม่มีที่ตั้ง เป็นหลักแหล่งที่มั่นคง ต้องโยกย้าย สถานที่เรียนบ่อยๆ ซึ่งเป็นเหตุผล ประการหนึ่ง ที่ทำให้ผลการเรียน ของนักเรียนนายเรือ ไม่ดีเท่าที่ควร เสด็จในกรมฯ ทรงพยายามทุกวิถีทาง ที่จะปรับปรุงกิจการด้านนี้ ให้ก้าวหน้า จึงได้นำความขึ้น กราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานที่ เพื่อตั้งเป็น โรงเรียนนายเรือ ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ที่ดินบริเวณ พระราชวังเดิม ฝั่งธนบุรี และได้ดัดแปลงเป็น โรงเรียนนายเรือ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๘ จึงนับว่า รากฐานของทหารเรือ ได้หยั่งลงแล้ว ในการนี้ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา เสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงกระทำพิธีเปิด โรงเรียนนายเรือ ด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๔๙ ทรงพอพระราชหฤทัย เป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จาก พระราชหัตถเลขา ในสมุดเยี่ยมของ โรงเรียนนายเรือ ความว่า "วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๒๕ เราจุฬาลงกรณ์ ปร. ได้มาเปิดโรงเรียนนี้ มีความปลื้มใจ ซึ่งได้เห็นการทหารเรือ มีรากหยั่งลงแล้ว จะเป็นที่มั่นสืบไป ในภายน่า"
เสด็จในกรมฯ ได้ทรงวางรากฐาน ในอันที่จะสร้าง นายทหารเรือไทย ขึ้นเป็นครั้งแรก ดังจะเห็นได้จาก บันทึกความประสงค์ การตั้งโรงเรียนนายเรือ ของ นายพลเรือตรี พระยาราชวังสัน (ศรี กมลนาวิน) เสนาธิการทหารเรือ ทูลเกล้าฯ ถวายนายพลเรือเอก สมเด็จเจ้าฟ้า อัษฎางค์เดชาวุธ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา ผู้สำเร็จราชการ กรมทหารเรือ เมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๗ ว่า
"... ต่อมาเมื่อปี ๒๔๔๘ นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ได้เสด็จดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษา ทหารเรือ อีกตำแหน่งหนึ่ง เพื่อจัดการ โรงเรียน ได้ทรงเพิ่ม วิชาสามัญชั้นสูงขึ้น กับมีวิทยาศาสตร์ เพิ่มเติมบ้าง ส่วนวิชาการเดินเรือนั้น ก็ทรงให้คงอยู่ ตามความประสงค์เดิม แต่ขยายหลักสูตร กว้างขวางออกไป ทั้งทรงตั้ง โรงเรียน นายช่างกล ขึ้นเป็นครั้งแรกด้วย..."
ตามบันทึกนี้ จะเห็นได้ว่า เสด็จในกรมฯ ทรงปรับปรุง การศึกษาของ โรงเรียนนายเรือ ให้เจริญและดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสด็จในกรมฯ ได้ทรงตั้ง โรงเรียน นายช่างกลขึ้น เป็นครั้งแรก เพราะทรงเห็นว่า เมื่อมี โรงเรียนนายเรือ ขึ้นมาแล้ว ก็สมควรจะมี โรงเรียนนายช่างกล ซึ่งเป็นของคู่กันอยู่ด้วย เสด็จในกรมฯ ได้รับผู้สมัคร ที่จะเรียนทางช่างกล จากนักเรียนนายเรือนั่น และปรากฏว่า มีนักเรียนมาสมัครเรียน ทางช่างกลกันมาก พอกับความต้องการทีเดียว
วิชาสำหรับนักเรียนช่างกล ที่ศึกษานี้ บางวิชาก็เรียนรวมกัน กับนักเรียนนายเรือ และบางวิชา ก็แยกไปศึกษาโดยเฉพาะ ส่วนระเบียบการปกครอง ก็เป็นไปแบบเดียวกับ นักเรียนนายเรือ
เมื่อมีโรงเรียนเพิ่มขึ้น เป็นสองโรงเรียน ทางราชการจึงได้รวมการบังคับบัญชา โรงเรียนทั้งสองแห่งเข้าด้วยกัน และตั้งเป็นกองบังคับการขึ้นใหม่ เรียกว่า "กองโรงเรียนนายเรือ" คำว่า "กองโรงเรียนนายเรือ" จึงปรากฏใน ทำเนียบทหารเรือ ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา และเพื่อขยายกิจการ ของโรงเรียนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีก ได้ทรงดำเนินการ จัดซื้อที่ดิน ด้านหลังของโรงเรียนนายเรือ ในขณะนั้น จนจรดคลอง วัดอรุณราชวราราม (เว้นทางหลวง) ทรงสร้างโรงงานช่างกล สำหรับฝึกหัด นักเรียนช่างกล และได้สร้างโรงอาหาร สำหรับนักเรียนนายเรือ ต่อกันไปจากโรงงาน บริเวณนอกจากนั้น ให้ทำเป็นสนาม ซึ่งต่อมาพื้นที่บริเวณ สนามด้านหน้าวัด โมลีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) ก็ได้จัดสร้าง เป็นโรงเรียนจ่าขึ้น จึงทำให้บริเวณกว้างขวางขึ้นอีกมาก
อนึ่ง เสด็จในกรมฯ ทรงเห็นว่า ควรจะได้ฝึกหัดให้ ทหารเรือไทยเดินเรือทะเล ได้อย่างชาวต่างประเทศ เพราะในสมัยนั้น คนไทยยังต้องจ้าง ชาวต่างประเทศ มาเป็นผู้บังคับการเรือ เป็นส่วนมาก สำหรับคนไทยที่มีความสามารถ เดินเรือทะเลบริเวณ อ่าวไทยได้ ก็มีแต่พวกอาสา จากบางคนที่อาศัยความชำนาญ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวด้วย หลักวิชาเลย ดังนั้นเสด็จในกรมฯ จึงได้ทรงริเริ่มที่จะ ทำการฝึกหัด และสั่งสอนนายทหารเรือ ให้มีความรู้ความชำนาญ ในการเดินเรือทะเล มากยิ่งขึ้น ซึ่งนับได้ว่า เป็นพระดำริที่ดี และสำคัญอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง ในทางการทหารเรือ ของราชนาวีไทย และทางกองเรือ ก็ได้ยึดถือแบบฉบับ อันดีงามนี้ ดำเนินการต่อมา จนตราบเท่าทุกวันนี้
สำหรับวิธีการขั้นแรก ที่เกี่ยวกับการผลิต นายทหารเรือชุดแรก ออกไปรับราชการนั้น เสด็จในกรมฯ ได้ให้นักเรียนชั้นสูง ซึ่งบางคนมีอายุตั้ง ๓๐ ปี สอบไล่เพื่อออกเป็น นายทหารชุดหนึ่งก่อน ส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ ให้ยุบลงไปเรียนชั้นเตรียมหมด และประทานโอกาสไว้ว่า ผู้ที่สอบไล่ได้แล้ว จะออกเป็นนายทหารก็ได้ หรือต้องการจะกลับเข้ามา เป็นนักเรียนใหม่อีกก็ได้ โดยเสด็จในกรมฯ ได้ทรงวางหลักสูตร การเรียนของนักเรียนทุกชั้น ขึ้นใหม่หมด เพราะหลักสูตรเดิมยังอ่อน และยังใช้การทางทะเลไม่ได้ โดยเสด็จในกรมฯ ได้ทรงเพิ่มวิชาต่างๆ เข้าไปไว้ในหลักสูตรอีกมาก เช่นวิชาตรีโกณเมตริ แอลยิบร่า ยีโอเมตรี การเรือ ดาราศาสตร์ แผนที่ ภาษาอังกฤษ ช่างกล และอื่นๆ ที่ทรงเห็นว่า สำคัญ อีกหลายวิชา พระองค์ได้ทรงจัดหลักสูตรใหม่ ดังนี้
๑. แบ่งนักเรียนออกเป็น ๔ ชั้น
๒. แบ่งภาคเรียนออกเป็น ๔ ภาค ภาคละ ๓ เดือน
สำหรับวิชาภาคต่างๆ เช่น วิชาดาราศาสตร์ เดินเรือ แผนที่ ตรีโกณโนเมตรีเส้นโค้ง พีชคณิตตอนกลาง และตอนปลาย เสด็จในกรมฯ ก็ทรงสอนเองโดยตลอด ในการจัดหลักสูตรใหม่ครั้งนี้ ปรากฏว่า พลเรือโท พระยาราชวังสัน (ศรี กมลนาวิน) ซึ่งสอบไล่ได้แล้ว แต่สมัครใจที่จะกลับเข้ามาเรียน หลักสูตรใหม่นี้เพียงคนเดียว จึงได้มีโอกาสเรียน กับพระองค์ตัวต่อตัว โดยใช้เวลาเพียง ๑ ปี จบหลักสูตรใหม่นี้
ในเรื่องการปกครองนั้น เสด็จในกรมฯ ทรงใช้ระเบียบวิธีการปกครองตามแบบในเรือรบ โดยแบ่งออกเป็น ๘ ตอน คือ
ตอน ๑ เรียกว่า หัวเรือขวา
ตอน ๒ เรียกว่า หัวเรือซ้าย
ตอน ๓ เรียกว่า เสาหน้าขวา
ตอน ๔ เรียกว่า เสาหน้าซ้าย
ตอน ๕ เรียกว่า เสาหลังขวา
ตอน ๖ เรียกว่า เสาหลังซ้าย
ตอน ๗ เรียกว่า ท้ายเรือขวา
ตอน ๘ เรียกว่า ท้ายเรือซ้าย
และถือเอาเรือใบสามเสา เป็นเกณฑ์ ส่วนช่างกลแบ่งออกเป็น ๒ ตอนนั้น คือ ตอน ๑ ตอน ๒ เรียกว่า ช่างกลกราบขวา และช่างกลกราบซ้าย ส่วนการบังคับบัญชานั้น ให้นักเรียนชั้นสูง บังคับบัญชานักเรียนชั้นรองๆ ลงมา เพื่อเป็นการฝึกหัดปกครอง ไปในตัวโดยมีหัวหน้ากัปตันตอน ซึ่งได้รับเงินเพิ่มจากปกติเดือนละ ๒๐ บาท และกัปตันตอนได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ ๑๗ บาท นอกจากนี้เสด็จในกรมฯ ได้ให้กรมยุทธโยธาทหารเรือ สร้างเสาธงขึ้นหนึ่งเสาตามแบบ ในเรือทูลกระหม่อมมีพรวน ๗ ชั้น พร้อมด้วย เครื่องประกอบและ เชือก เสา เพลา ใบ แล้วทรงหัดให้นักเรียนขึ้นเสา และประจำพรวน กางใบ ม้วนใบลดพรวนลงดิน เอาพรวนเข้าติดที่ ถอดเสาท่อนบนลง เอาเสาท่อนบนขึ้น สิ่งเหล่านี้ต้องทำด้วยความระมัดระวัง และลำบากมากเสด็จในกรมฯ ทรงเอาพระทัยใส่ต่อวิชาเรียนแผนกนี้ อย่างจริงจัง เพราะกว่าจะเลิกฝึก ก็เป็นเวลาราวๆ ๑๙.๐๐ ทุกวันไป และเสด็จในกรมฯ ได้ทรงจัดให้มี เรือกรรเชียงไว้ฝึกหัดตี และแล่นใบด้วย ทั้งทรงให้มีกองแผนที่ทะเล และให้พิมพ์แบบเชือกขึ้นไว้ เพื่อเป็นตัวอย่าง ในการเรียนผูกเชือก แบบต่างๆ อีกด้วย
ในทางด้านการกีฬา เสด็จในกรมฯ ได้ทรงขอครูมาจาก กระทรวงธรรมการ เพื่อมาสอนบาร์คู่ บาร์เดี่ยวและห่วง เพื่อให้นักเรียนฝึกหัด จนได้ผลเป็นอย่างดียิ่ง เพราะปรากฏว่า นักเรียนมีสุขภาพดี และแข็งแรงขึ้นเป็นอันมาก และทุกวันพฤหัสบดี ตอนบ่ายทุกคนต้องทำความสะอาดเรียบร้อยทุกอย่าง เช่น เตียงนอนเครื่องสนาม หม้อข้าว หีบเสื้อผ้าตลอดจนเล็บ ฟัน เป็นต้น
ใน พ.ศ.๒๔๔๙ เสด็จในกรมฯ ได้ทรงนำนักเรียนนายเรือทั้งหมด ไปฝึกหัดทางทะเล ด้วยเรือยงยศอโยชฌิยา เรือลำนี้เป็นเรือกลไฟ ขนาดกลาง มีเสาใบพร้อม แต่ทรงให้ติดพรวนชั้นต่ำขึ้นอีกเป็นพิเศษ และได้ให้นักเรียนขึ้นเสา ลงเสา กางใบ ถือท้ายใช้เข็มทิศ ทิ้งดิ่งและการเรือทุกชนิด เวลาใดที่มีคลื่นจัด เรือลำนี้ก็จะโคลง จึงทำให้นักเรียนทั้งหลาย หายเมาคลื่นไปตามๆ กัน แต่ทรงฝึกให้ บรรดานักเรียนทั้งหลาย หายเมาคลื่น โดยให้ขึ้นลงเสาจนชิน เพราะทรงถือว่า "ทหารเรือต้องเมาคลื่นไม่เป็น" การไปฝึกครั้งนี้ ได้ไปทางภาคตะวันออก ของอ่าวไทย จนถึงจังหวัดจันทบุรี ราวหนึ่งเดือนจึงกลับ ภายใต้การบังคับบัญชา ของพระองค์ท่าน และพลเรือโท พระยาราชวังสัน (ศรี กมลนาวิน) ปรากฎผลว่านักเรียน มีความคล่องแคล่ว และเข้มแข็งในการเดินเรือเป็นอย่างดียิ่ง
นอกจากทรงใฝ่พระทัย ในด้านการศึกษาของ นักเรียนนายเรือแล้ว เสด็จในกรมฯ ทรงดำริ สำหรับการช่วยเหลือราษฎร ในด้านการดับเพลิงนั้น ควรจะได้ให ้นักเรียนนายเรือ ได้มีการฝึก ทำการช่วยเหลือราษฎร ทำการดับเพลิง เนื่องจากในสมัยนั้น พระนครธนบุรี ไม่มีกองดับเพลิง ที่อื่นเลย นอกจากที่กรมทหารเรือแห่งเดียว เพราะมีเรือสูบน้ำ และเรือกลไฟเล็ก ซึ่งขึ้นอยู่กับกรมเรือกลอยู่แล้ว และมีหน้าที่ดับเพลิง ฉะนั้นเมื่อเกิดเพลิงไหม้ที่ใด เรือกลไฟจะทำหน้าที่ ลากจูงเรือสูบน้ำ ไปทำการดับเพลิง เป็นประจำ ทรงตั้งกองดับเพลิงขึ้นโดยมี
๑. กองถัง
๒. กองขวาน
๓. กองผ้าใบกันแสงเพลิง
๔. กองรื้อและตัดเชื้อเพลิง
นอกจากทรงใฝ่พระทัย ในด้านการศึกษาของ นักเรียนนายเรือแล้ว เสด็จในกรมฯ ทรงดำริ สำหรับการช่วยเหลือราษฎร ในด้านการดับเพลิงนั้น ควรจะได้ให ้นักเรียนนายเรือ ได้มีการฝึก ทำการช่วยเหลือราษฎร ทำการดับเพลิง เนื่องจากในสมัยนั้น พระนครธนบุรี ไม่มีกองดับเพลิง ที่อื่นเลย นอกจากที่กรมทหารเรือแห่งเดียว เพราะมีเรือสูบน้ำ และเรือกลไฟเล็ก ซึ่งขึ้นอยู่กับกรมเรือกลอยู่แล้ว และมีหน้าที่ดับเพลิง ฉะนั้นเมื่อเกิดเพลิงไหม้ที่ใด เรือกลไฟจะทำหน้าที่ ลากจูงเรือสูบน้ำ ไปทำการดับเพลิง เป็นประจำ ทรงตั้งกองดับเพลิงขึ้นโดยมี
๑. กองถัง
๒. กองขวาน
๓. กองผ้าใบกันแสงเพลิง
๔. กองรื้อและตัดเชื้อเพลิง
๕. กองช่วย
๖. กองพยาบาล
ต่อมา จึงได้เพิ่ม กองสายสูบขึ้น อีกกองหนึ่ง ในกองนี้ ได้ทรงจัดให้ นักเรียนนายช่างกล ทำหน้าที่ร่วมกับ นักเรียนอื่นๆ และเพื่อความชำนาญ ใหัมีการเปลี่ยนกันไปบ้าง ตามความสามารถ ของนักเรียน
การปฏิบัติงานของ กองดับเพลิงนั้น ได้รับคำชมเชยอยู่เสมอ ดังเช่น ในวันที่ ๔ และ ๕ เมษายน ๒๔๔๙ ได้เกิดเพลิงไหม้ ขนานใหญ่ที่ ตำบลราชวงศ์ กองดับเพลิง ได้ทำการดับเพลิง อย่างเข้มแข็ง จนได้รับคำชมเชยดังนี้
"...วันที่ ๖ เมษายน ๒๔๔๙ กรมทหารเรือได้ลงคำสั่งที่ ๘/๑๓๘ ให้ทราบทั่วกันว่า พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงสรรเสริญ ความอุตสาหะ ของกรมทหารเรือ ในการดับเพลิง ที่ตำบลถนนราชวงศ์ เมื่อวันที่ ๔ และ ๕ เมษายน ๑๒๕..." จึงให้กรมกองประกาศให้ นายทหาร พลทหาร และพลนักเรียนทราบทั่วกัน
เสด็จในกรมฯ ได้ทรงฝึกหัดอบรม สั่งสอนนักเรียนนายเรือแล้ว ยังได้ทรงเห็นความสำคัญ ในการศึกษาของ พลทหารเรือ ซึ่งถูกเกณฑ์ มารับราชการอีกด้วย จึงได้ทรงตั้งโรงเรียนต่างๆ ดังนี้
วันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๙ ตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๑ ที่จังหวัดสมุทรสงคราม
วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๙ ตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๒ จังหวัดสมุทรสาคร
วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๙ ตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๕ ที่ ตำบลบางพระ จังหวัดชลบุรี และตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๖ ณ ตำบลบ้านแพ จังหวัดระยอง และตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๗ ที่ จังหวัดจันทบุรี
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๑ ตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๔ จังหวัดสมุทรปราการ
วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๑ ตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๓ ที่จังหวัดพระประแดง
ในการตั้งกองโรงเรียนต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วนี้ นอกจากจะได้ฝึกหัดอบรม พลทหารเรือ ให้ได้รับการศึกษาแล้ว ยังทรงหวัง ที่จะให้เป็นหน่วยกำลังทหาร สำหรับ รักษาชายฝั่งทะเลอีกด้วย สิ่งก่อสร้างก็ดี กิจการต่างๆ ของแต่ละกองก็ดี ได้จัดทำขึ้นคล้ายคลึงกันและแล้วแต่ความเหมาะสม กับสถานที่ของหน่วยนั้นๆ และพระองค์ได้เสด็จ ไปทรงดูแลสั่งสอนทหาร ตามกองโรงเรียนต่างๆ อย่างใกล้ชิดเสมอ จะเห็นได้จาก กองจดหมายของนาวาตรี หลวงรักษาทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า
เรืออัคเรศรัตนาสน์ "...เรื่องปลูกสร้าง ตั้งกองทหารที่บางพระ ชลบุรี เมื่อปลูกสร้างเสร็จแล้ว ได้แบ่งเอาทหารที่อยู่ ในกรุงเทพฯ ทั้งฝ่ายบกและฝ่ายเรือ ตลอดจนฝ่ายธุรการ ทุกแผนก แห่งละครึ่งหนึ่ง ให้เตรียมตัวขนของ ลงบรรทุกเรืออยู่ ๓ วัน คือ เรือมกุฎราชกุมาร เรือมูรธาสิตสวัสดิ์ เรืออัคเรศรัตนาสน์ เรือสุริยะมณฑล เรือนฤเบนทรบุตรี เรือจำเริญ รวม ๖ ลำ บรรทุกของเพียบไปตามๆ กันเสร็จแล้วออกเรือ แต่เจ้าพ่อประทับ ในเรืออัคเรศฯ พร้อมด้วยพวกฝ่ายธุรการ..."
นอกจากนี้เสด็จในกรมฯ ยังได้ทรงฝึกหัดให้ ทหารเรือได้ซ้อมรบบนบก ในบริเวณจังหวัดชลบุรี เพื่อให้ทหารเรือมีความรู้ ความชำนาญในทางบก อีกด้วย
อวดธง
ใน พ.ศ.๒๔๕๐ เสด็จในกรมฯ ได้ทรงนำ คณะนักเรียนนายเรือ และนักเรียนนายช่างกล ประมาณ ๑๐๐ คนไป "อวดธง" ที่สิงคโปร์ ปัตตาเวีย ชวา และเกาะบิลลิทัน โดย ร.ล.มกุฎราชกุมาร (ลำที่ ๑) ในการเดินทาง ไปต่างประเทศ ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก และเสด็จในกรมฯ ทรงเป็นผู้บังคับเรือเอง พร้อมด้วยนักเรียน และทหารประจำเรือ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยทั้งสิ้น เสด็จในกรมฯ ได้ทรงแบ่งเจ้าหน้าที่ประจำเรือดังนี้
๑. ผู้บังคับการเรือ
๒. ผู้ช่วยผู้บังคับการเรือ (คือตำแหน่งต้นเรือในปัจจุบัน)
๓. ยกกระบัตร (คือฝ่ายพลาธิการ)
๔. แพทย์
๕. นายทหารประจำเรือ เช่น ต้นหน ต้นปืน เป็นต้น
๖. หัวหน้าช่างกล (คือต้นกล) และตำแหน่งช่างกล มี รองต้นกลและนายช่างกล
ในการออกฝึก และอวดธงยังต่างประเทศ ครั้งแรกนี้ ทรงบัญชาการ ฝึกนักเรียนนายเรือ ด้วยพระองค์เอง ให้นักเรียนทำการ ฝึกหัดปฏิบัติการในเรือ ทุกอย่าง เพื่อให้มีความอดทน ต่อการใช้ชีวิต ด้วยความลำบาก เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และเพื่อให้เป็น ผู้เชี่ยวชาญ ในการปฏิบัติหน้าที่ ของตนจริงๆ มีความกล้าหาญรักชาติ ให้รู้จักชีวิต ของการเป็นทหารเรือ โดยแท้จริง ซึ่งจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในการปฏิบัติการต่างๆ ในเรือรู้จักหน้าที่ ตั้งแต่พลทหาร จนถึงนายทหาร นักเรียนนายเรือ ได้ฝึกอย่างจริงจัง เผชิญทั้งภัยธรรมชาติ ทั้งการฝึกของพระองค์ ดังจะกล่าวให้ทราบ เพียงบางส่วน เช่น ในระหว่างที่เรือแล่นจาก สิงคโปร์ เรือได้แล่นลัดช่องทางเดินเรือ ระหว่างเกาะแก่ง มาหลายวัน ขณะที่แล่นอยู่ในระหว่าง เกาะเล็กๆ ๒ ข้าง ปรากฏเป็นคลื่นคะนอง คลื่นลูกใหญ่ซัดเรือ ทำให้เรือเอียงไปมา เสด็จในกรมฯ ซึ่งขณะนั้น ประทับอยู่ท้ายเรือ รีบเสด็จขึ้นไปบน สะพานเดินเรือ ทรงเปลี่ยนเข็ม เบนหัวเรือและลดฝีจักรเรือ รับสั่งให้ทางห้องเครื่องจักร ระวังเครื่องให้พร้อมเพรียงที่สุด ขณะนั้นภายในเรือ เกิดการโกลาหลชั่วขณะหนึ่ง แต่ด้วยพระสติปัญญา อันสุขุมของพระองค์ และทรงพิจารณาสั่งการต่างๆ ตลอดจนอธิบาย ให้นักเรียน และทหารในเรือมิให้ตื่นเต้น หรือหวาดกลัวจนเกินไป จนทำอะไรไม่ถูก จึงทรงหาทางปลอดภัย ให้แก่เรือได้ เรือหลวงมกุฎราชกุมาร จึงได้แล่นไปโดยสวัสดิภาพ จนเข้าช่องลิกา (Linga Strait) เพื่อทอดสมอ และทำพิธีข้ามเส้นอิเควเตอร์
ขณะที่เรือหลวงมกุฎราชกุมาร ทอดสมอที่สิงคโปร์ นักเรียนนายเรือ ได้รับเชิญให้ไปดู การซ้อมรบของ ทหารอังกฤษ ซึ่งมีทหารประมาณ หนึ่งร้อยคน แต่งกายพรางตา เพื่อให้ข้าศึกเห็นเป็นหญ้าคา โดยเอาหญ้าคาเสียบไว้บนหมวกบ้าง บนบ่าบ้าง ฝ่ายทหารอังกฤษ จะเป็นฝ่ายเข้าตีอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นแขกซิก มีจำนวนประมาณ ๒ กองร้อย นักเรียนนายเรือต่าง ได้รับคำสั่งให้แยกย้ายกันดู ไว้เป็นตัวอย่าง
เมื่อเรือหลวงมกุฎราชกุมาร ได้กลับมาถึงชุมพร และจอดทอดสมอ ได้มีเจ้าเมืองชุมพร พร้อมด้วยข้าราชการ มาเฝ้าเสด็จในกรมฯ ได้รับสั่งให้ทำการฝึกยกพลขึ้นบก โดยให้แบ่งนักเรียนนายเรือ ออกทำการประลองยุทธ์ ทรงสั่งให้ควบคุมการฝึก อย่างเข้มแข็ง นักเรียนได้ทำการฝึกซ้อม การปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ อย่างว่องไว และเข้มแข็งเป็นที่พอพระทัย ของเสด็จในกรมฯ เป็นอย่างมาก บรรดาข้าราชการ และประชาชนที่ได้เห็น ต่างพากันชื่นชมยินดี และสรรเสริญเสด็จในกรมฯ ว่าทรงพระปรีชาอย่างยิ่ง ในการฝึกฝนอบรมนักเรียนนายเรือ เพื่อให้เป็นนายทหารที่เข้มแข็งในอนาคต
สำหรับการประลองยุทธ์ทางบกนี้ ยังได้ทรงให้มีการประลองยุทธ์อีกที่บางพระ วิธีการของพระองค์มีพอจะกล่าว เป็นสังเขปดังนี้ คือ ทรงแบ่งทหารออกเป็น ๒ กอง ก่อนออกฝึก ๗ วัน ทรงบัญชาการฝึก ความอดทนของทหาร โดยให้ใส่เครื่องสนามครบ เอาทรายใส่หลังแทนข้าวสาร วันแรกใส่ทราย ๑ ทะนาน วันต่อๆ ไปเพิ่มขึ้นวันละทะนานจนถึง ๗ ทะนาน และให้ฝึกทั้งเช้าและเย็น ทั้งนี้เพื่อให้กำลังทหารอยู่ตัว ในระหว่างการฝึกยังได้ทรงสอน วิธีหุงข้าว และหาอาหารในป่าด้วย กองทหารที่แบ่งออกเป็น ๒ กองนั้น จะแยกกันตั้งค่ายตามจุดของตน โดยจะสร้างเป็นหอคอยมีกำแพงล้อมรอบทำด้วยไม้ไผ่ และมีกองรักษาการณ์ตลอดเวลา เมื่อเริ่มออกทำการประลองยุทธ์ ต่างฝ่ายก็จะเดินทาง ไปยังจุดที่หมายพบกัน ณ ที่ใดก็เริ่มยิงต่อสู้กัน โดยใช้กระสุนซ้อมยิง จนกระทั่งถึงเวลาพักรบ ก็เลิกรากัน ต่างฝ่ายต่างกลับไปยังค่ายของตน เพื่อพักผ่อน เสด็จในกรมฯ รับสั่งให้ทำลายป้อมค่าย แล้วยกไปตั้งที่จุดใหม่ แล้วทำการรบอีกดังนี้ถึง ๓ ครั้ง
นอกจากการประลองยุทธ์ทางบกแล้ว ยังได้ทรงจัดให้มีการประลองยุทธ์ทางทะเลอีกด้วย ทั้งนี้ ก็เนื่องจากทรงมีพระประสงค์ จะให้เจ้าหน้าที่ต่างๆ ได้มีการฝึกหัด ให้มีความชำนาญ และมีพระประสงค์จะเห็นความสามารถ ของเจ้าหน้าที่ด้วย ทรงให้ฝึกหัดหลายอย่าง เช่นฝึกหัดเตรียมรบ หัดทิ้งลูกดิ่ง หัดตีกรรเชียง หัดสละเรือใหญ่ เป็นต้น นับว่าได้ทรงฝึกหัดทหารเรือ และนักเรียนนายเรือให้มีความชำนาญในการรบ และปฏิบัติการด้วยความเข้มแข็ง และมีความอดทนอย่างแท้จริง โดยที่พระองค์ ได้ทรงบัญชาการฝึก ด้วยพระองค์เองอย่างใกล้ชิดตลอด เป็นต้นว่า ช่วยลากเชือกวิ่งในเวลาชักเรือบต และขนถ่ายของจากเรือใหญ่ แม้แต่วิธีปฏิบัติในเรือ เกี่ยวกับการอาบน้ำ หรืออาหาร ก็ทรงปฏิบัติเช่นเดียวกับทหารอื่นๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทหารทั้งหลาย ย่อมเห็นในพระอุตสาหะ และความห่วงใยของพระองค์ ที่มีต่อบรรดาทหารทั้งหลาย ทหารทั้งนั้นจึงได้รัก และเคารพในพระองค์ท่าน อย่างยิ่งประดุจว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งทหารเรือทั้งหลาย
การออกฝึกครั้งนั้น นอกจากจะทำให้นักเรียนนายเรือ ได้รู้จักปฏิบัติการจริงๆ ทางทะเลแล้ว ยังทรงนำสิ่งใหม่ มาสู่วงการทหารเรืออีก คือ แต่เดิมเรือรบของไทยทาสีขาว พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนสี เรือมกุฎราชกุมาร ให้เป็นสีหมอก ตามแบบอย่างเรือรบอังกฤษ และต่อมาเรือรบทุกลำของไทย ก็ทาสีหมอกมาจนทุกวันนี้
การที่เสด็จในกรมฯ ทรงนำนักเรียนนายเรือ ไปทำการอวดธง ในต่างประเทศครั้งนี้ จึงนับเป็นเกียรติแก่ทหารเรือไทย เพราะย่อมทราบกันทั่วไปว่า ชาติที่เป็นเอกราชเท่านั้น จึงจะมี "ธงราชนาวี" ของตนเองได้ ฉะนั้น เรือหลวงของราชนาวี จึงเป็นเสมือนประเทศไทยเคลื่อนที่ เมื่อไปปรากฎ ในต่างประเทศ ทหารเรือที่อวดธงครั้งนี้ แม้จะลำบากตรากตรำ ต่อหน้าที่การงานเพียงไร ทุกคนก็ภาคภูมิใจ ในเกียรติแห่งความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นที่ประทับใจอยู่มิมีเสื่อมคลาย นับว่าทหารเรือไทย ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสำเร็จ ก็เพราะพระวิริยะอุตสาหะของ เสด็จในกรมฯ
ครั้นวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๕๑ เสด็จในกรมฯ ในตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เสด็จออกไปอำนวยการ ทดลองตอร์ปิโดที่สัตหีบ โดย ร.ล.เสือทยานชล และเรือตอร์ปิโดที่มิได้เข้าอู่ซ่อม เรือบุ๊กและเรือกว้าน ออกจากกรุงเทพฯ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์เสด็จในกรมฯ ทรงนำกระบวนเรือพิฆาตฯ และเรือตอร์ปิโด ไปฝึกหัดทางทะเล มีกำหนด ๑ เดือน
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเห็นความสำคัญของ กิจการทหารเรือ จึงได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้จอมพลเรือ สมเด็จเจ้าฟ้า บริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิจ ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ศกเดียวกันนี้ ก็ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งขณะนั้นกำลังทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรืออีกตำแหน่งหนึ่ง
งานอดิเรก
ถ้าจะพูดกันอย่างชาวบ้านสามัญชน ก็กล่าวได้ว่าเสด็จในกรมฯ หรือพระนามที่ชาวจีน นิยมเรียกขานด้วยความรักเทิดทูนบูชา ในพระองค์ผู้เปรียบเหมือน "พ่อ" จึงออกพระนามว่า "เสด็จเตี่ย" นั้น พระองค์ทรงเป็น "ชายชาติทหาร" อย่างเต็มตัว ฉะนั้นการกีฬาที่ทรงโปรดเป็นงานอดิเรก ก็คือการเล่นกีฬาแล่นเรือใบ ยามใดที่พอจะมีเวลาว่าง จากราชการแล้ว พระองค์ทรงโปรด ที่จะใช้เวลากับการแล่นเรือใบ โดยทรงถือท้ายเรือด้วยพระองค์เอง และยังทรงฝึกหัดให้ชายา และพระโอรสพระธิดา ได้หัดแล่นเรือใบในทะเล เพื่อให้มีความกล้าหาญ นอกจากความเพลิดเพลิน แล้วจะได้คุ้นเคย และถือทะเลเป็นเสมือนบ้าน ได้อีกความรู้สึกหนึ่งด้วย
นอกจากกีฬาแล่นเรือใบแล้ว กีฬาอีกประเภทที่ทรงโปรดก็คือ "มวย" และ "กระบี่กระบอง" เสด็จเตี่ยทรงฝึกหัดทั้งมวย และกระบี่กระบองอย่างเชี่ยวชาญ จนยากที่จะหาใครเทียบเคียงได้ และพระองค์ยังได้ ทรงสนับสนุนทหารเรือที่ช่ำชอง มีความสามารถในการชกมวยไทยอีกด้วย ทรงส่งนายยัง หาญทะเล เข้าชกชิงถ้วยชนะเลิศ ในการชกมวยไทย ซึ่งสมัยนั้นนักมวยยังใช้เชือกคาดมือชก พระองค์ทรงชุบเลี้ยงนายทหารเรือ ที่มีความสามารถในการชกมวย และกระบี่กระบอง ไว้มากมายหลายคน เนื่องเพราะทรงเห็นความสำคัญ ของศิลปะการต่อสู้แบบไทยแท ้และเป็นวิชาสำคัญในการป้องกันตัวอีกด้วย
แต่ก็มิใช่แค่การกีฬาเท่านั้น ที่เป็นงานอดิเรกหรือฮ้อบบี้ที่ทรงโปรดปราน การศิลปะหรือเชิงวิจิตรศิลป์ ก็ยังเป็นอีกงานอดิเรกหนึ่ง ซึ่งเสด็จเตี่ย ทรงมีพระปรีชาสามารถ เป็นพิเศษ พระองค์ทรงเขียนภาพพุทธประวัติ ไว้ที่ผนังโบสถ์วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ซึ่งก็ยังคง ปรากฏอยู่มาตราบจนทุกวันนี้ ภาพพุทธประวัตินั้น เป็นตอนพระพุทธเจ้า กับเบญจวัคคีย์ ภาพฝีพระหัตถ์อันงามวิจิตรที่ฝนังโบสถ์นั้น ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ถึงพระปรีชาสามารถ ในเชิงศิลปะของเสด็จเตี่ย และยังแสดงถึงพระทัย ที่ละเอียดอื่นลึกซึ้งอีกด้วย
เสด็จในกรมกับงานนิพนธ์
เสด็จในกรมหลวงฯ ทรงมีนิสัยในทางดนตรี โดยเฉพาะในเรื่องการแต่งเพลง ทรงพระปรีชาสามารถเป็นเยี่ยม ทรงนิพนธ์บทเพลงไว้หลายเพลง บทเพลงเหล่านั้น มีสาระสำคัญ ในการปลุกปลอบใจให้เข้มแข็ง ในยามทุกข์ส่งเสริมกำลังใจให้รักชาติ รักเกียรติ รักวินัยในยามสงบ และให้เกิดมุมานะกล้าตาย ไม่เสียดายชีวิตในยามศึก บทเพลงเหล่านั้น บรรดาทหารเรือทั้งหลาย ได้รับไว้เป็นพระอนุสรณ์ แห่งพระองค์ท่าน เกี่ยวกับบทเพลงพระพิพนธ์ นั้นนาวาตรีหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาค) เขียนจดหมายไว้ดังนี้
"... เรื่องเพลงทหารเรือที่เจ้าพ่อทรงแต่ง เมื่อทหารสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ให้ทหารร้องเพลงเพื่อปลุกใจเวลาที่ผมประจำอยู่กับเจ้าพ่อ เมื่อยกกองทหารไปตั้งที่บางพระ ทหารกรุงเทพฯ กับทหารหัวเมืองร้องเพลงผิด ๆ ถูก ๆ ไม่เป็นระเบียบเจ้าพ่อจึงสั่งให้เรือเอกหลวงอาจณรงค์ เลขานุการของเจ้าพ่อเขียนตามคำบอกเสร็จแล้วใช้พิมพ์ดีดพิมพ์ แล้วลงพระนาม "อาภากร" ให้เอาไปปิดไว้ที่กองบัญชาการ ให้หัวหน้ากองทหารต่าง ๆ มาคัดเอาไปสอนทหาร ผมได้คัดมา ๑ ฉบับด้วยเหมือนกัน และได้จดลงในสมุดใหญ่เก็บรักษาไว้ที่บ้านมาจนถึงบัดนี้
เท่าที่ผมได้ยินร้องกันเวลานี้ มีแต่เพลง
๑. ฮะเบสสมอพลัน ออกสันดอนไป ...
๒. เกิดมาทั้งที มันก็มีอยู่แต่ทุกข์ภัย ...
๓. เกิดมาทั้งที มันก็ดีอยู่แต่เมื่อเป็น ... "
ทรงถูกปลดออกจากราชการ
ครั้นถึงวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้พระองค์ ออกจากราชการอยู่ ชั่วระยะหนึ่ง รวมเวลาที่เสด็จในกรมฯ ทรงรับราชการครั้งแรก ๑๑ ปี
สาเหตุที่ออก ก็เพราะว่ามีพวกทหารเรือไปเที่ยว พบกับทหารมหาดเล็ก เกิดเรื่องวิวาท กันขึ้น เรื่องทราบไปถึง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ เข้า ทรงไม่พอพระทัย รับสั่งให้เจ้าคุณรามราฆพ ไปทูลเสด็จในกรมฯ ให้ส่งทหารเรือที่วิวาทกับ ทหารมหาดเล็กไปให้ ท่านไม่ยอมส่งให้ ได้ให้ทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า เป็นเรื่องของคนวิวาทกัน ซึ่งจะว่าข้างใดเป็นผู้ผิดไม่ได้ และท่านก็รักทหารเรือ ของท่านเหมือนกับลูก ท่านไม่เคยส่งลูกไปให้ใครเขาเฆี่ยนตี ถ้าจะตีก็จะตีเสียเอง พระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วรับสั่งว่า ถ้าท่านไม่ส่งไปให้ก็ต้องให้ออก เพราะว่าทำงานร่วมกันไม่ได้ เสด็จในกรมฯ จึงต้องออกจากราชการในคราวนั้น
นอกจากนั้นในตอนฝึกเสือป่า ก็มีเรื่องไม่เป็นที่พอพระทัย คือซ้อมรบมีกันหลายฝ่าย พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงซ้อมรบด้วยหลายครั้ง ปรากฏว่าฝ่ายลูกน้อง เสด็จในกรมฯ ไปจับเอาพระเจ้าอยู่หัว และองครักษ์มาโดยไม่ทราบว่าเป็น พระเจ้าอยู่หัว แล้วมาทูลเสด็จในกรมฯ ว่าตนได้จับฝ่ายตรงข้ามได้สองคนเข้าใจว่าจะเป็นคนสำคัญ เสด็จในกรมฯ ได้แอบดูก็รู้ว่าเป็น พระเจ้าอยู่หัว จึงรับสั่งให้ปล่อยไป โดยให้ลูกน้องของพระองค์ แกล้งลืมกุญแจไว้ เพราะถ้าปล่อยโดยตรง รัชกาลที่ ๖ ก็จะไม่โปรดอีก จะกริ้วเอาเปล่าๆ จะหาว่าเสด็จในกรมฯ ทรงแกล้งแพ้
ในระยะนั้นมีข่าวลือว่า เสด็จในกรมฯ ทรงคิดจะขบถ หากสำเร็จจะยกให้ กรมพระนครสวรรค์ฯ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และเสด็จในกรมฯ จะเป็นวังหน้า เนื่องจากเสด็จในกรมฯ และกรมพระนครสวรรค์ เป็นพี่น้องที่รักกันมาก เพราะถูกอัธยาศัยกัน อีกทั้งฝ่ายมารดาก็ต่างเป็น คนในตระกูลบุนนาคด้วยกัน คนเป็นจำนวนมาก จึงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง กรมพระนครสวรรค์ฯ เอง ก็ทรงเสียพระทัยมาก คิดจะกราบถวายบังคมลาออกจากราชการอยู่หลายครั้ง แต่มีคนทูลอ้อนวอน ไม่ให้ออกก็เลยอ่อนพระทัยระงับการลาออก
หมอพรของชาวบ้าน
พระคัมภีร์อติสาระวรรค "... เสด็จในกรมฯ ได้ทรงออกจากประจำการ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๔ และได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์ แผนโบราณ จากตำราไทย ทรงเขียนตำราสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ ของพระองค์เอง ซึ่งกล่าวกันว่า ปัจจุบันสมุดข่อย ตำรายานี้ได้เคยเก็บรักษาอยู่ ณ ศาลกรมหลวงชุมพร นางเลิ้ง เป็นสมุดข่อยปิดทองที่สวยงามมาก มีภาพพระพุทธเจ้านั่งขัดสมาธิ เขียนด้วยหมึกสี ด้านซ้าย และด้านขวา เป็นภาพฤาษี ๒ องค์ นั่งพนมมือ ถัดมาเป็นรูป พระอาทิตย์ทรงราชรถ และมีอักษรเขียน เป็นภาษาบาลีว่า "กยิราเจ กยิราเถนํ" ขอบสมุดเขียน เป็นลายไทยสีสวยงาม หน้าต้นของสมุดตำรายานี้มีข้อความว่า
"พระคัมภีร์อติสาระวรรค โบราณกรรม และปัจจุบันกรรม จบบริบูรณ์ ของกรมหมื่นชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ทรงค้นคว้า ตรวจหาตาม คัมภีร์เก่า เกือบจะสูญสิ้นอยู่แล้ว จนสำเร็จในปี พ.ศ.๒๔๕๘ "..."
เมื่อทรงลาออกจาก ราชนาวีแล้ว ทรงอยู่ว่างๆ รำคาญพระทัย จึงลงมือศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ จนชำนิชำนาญ และรับรักษาโรค ให้ประชาชนพลเมืองทั่วไป โดยไม่คิดมูลค่า จนเป็นที่เลื่องลือว่า มีหมออภินิหารรักษาความป่วยไข้ได้เจ็บ ได้อย่างหายเป็นปลิดทิ้ง
ทรงเห็นว่าการช่วยชีวิตคน เป็นบุญกุศลแก่พระองค์ จึงทรงตั้งหน้าเล่าเรียน กับพระยาพิษณุฯ หัวหน้าหมอหลวง แห่งพระราชสำนัก ซึ่งหัวหน้าฝ่ายยาไทย ของประเทศไทยผู้นี้ ก็ได้พยายามถ่ายเทความรู้ให้ พระองค์ได้พยายามค้นคว้า และปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา เช่น เอาสัตว์ปีกจำพวก นก เป็ด ไก่ ที่ตายแล้วใส่ขวดโหลดองไว้ ที่เป็นๆ ก็จับเลี้ยงไว้ในกรงอีกมากมายไว้ที่วัง ทรงหมกมุ่นอยู่กับการแยกธาตุ และทดลองทั้งวัน ถึงแม้ว่าจะทรงชำนิชำนาญ ในกิจการแพทย์ฝ่ายแผนโบราณ แล้วก็ตาม แต่จะไม่ทรงยินยอมรักษาใคร เป็นอันขาด จนกว่าจะได้รับการทดลองแม่นยำแล้วว่า เป็นยาที่รักษาโรคชนิดพื้นๆ ให้หายขาดได้ อย่างแน่นอน ให้ทรงทดลองให้สัตว์เล็กๆ กินก่อน เมื่อสัตว์เล็กกินหาย ก็ทดลองสัตว์โต เมื่อสัตว์โตหาย จึงทดลองกับคน และประกาศอย่างเปิดเผยว่า จะทรงสามารถ รักษาโรคนั้นโรคนี้ ให้หายขาดได้
เมื่อผู้คนพากันรู้ว่า เจ้าพ่อรักษาโรคได้ฉมังนัก จึงทำให้ร่ำลือ และแตกตื่นกันทั้งบ้าน ทั้งเมือง ไม่ทรงให้ใครเรียกพระองค์ว่า เสด็จในกรมฯ หรือยกย่อง เป็นเจ้านาย แต่ทรงเรียกพระองค์เองว่า "หมอพร" เมื่อมีประชาชน มาหาพระองค์ให้รักษา ก็ทรงต้อนรับ ด้วยไมตรีจิต และรักษาให้เป็นการฟรี ไม่คิดค่ารักษา แต่ประการใด นอกจากจะเชิญไปรักษาตามบ้าน ซึ่งเจ้าของไข้จะต้องหารถรา ให้พระองค์เสด็จไป และนำเสด็จกลับ โดยมากเป็นรถม้าเท่านั้น
เมื่อกิตติศัพท์ร่ำลือกันว่า หมอพรรักษาโรคได้ฉมังนัก และไม่คิดมูลค่าเป็นเงินทองด้วย ประชาชนก็พาเลื่อมใสทั้งกรุงเทพฯ และระบือลือลั่นไปทั้งกรุง เป็นเหตุให้ ความนิยมพระองค์ ได้กว้างขวาง และกิตติศัพท์นี้ ก็ไปถึงพระกรรณ ในหลวง ร.๖ ซึ่งทำให้ทรงพิศวงไม่ใช่น้อย เหมือนกับว่า อนุชาของพระองค์เป็นผู้ที่ แปลกประหลาดอย่างยิ่งทีเดียว ทั้งๆ ที่ยังหนุ่มแน่น ทหารก็รักใคร่และเรียกเป็น "เจ้าพ่อ" เดี๋ยวนี้ประชาชนทั้งเมือง เลื่องลือกันว่าเป็นผู้วิเศษกันอีก ที่สำคัญคือไม่คิดเงินคิดทองผู้ไปรักษา จึงทำให้สภาวะของวังพระองค์ท่าน กลายเป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆ ที่ต้อนรับผู้คนอย่างแน่นขนัดขึ้นมา ทุกวันจะมีคนไปที่วังแน่นขนัด และทรงต้อนรับด้วยดีทุกคน เมื่อไปถึงก็พากันกราบกราน ที่พระบาท ขอให้ "หมอพร" ช่วยชุบชีวิต คนเจ็บคนป่วย ก็ทรงเต็มพระทัยรักษาให้ จนหายโดยทั่วกัน
เจ้ากรมจเรทหารเรือ
วันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๐ กระทรวงทหารเรือ ได้มีคำสั่งที่ ๑๘๙/๐๔๓๓๘ ให้ทราบว่า พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพร เขตอุดมศักดิ์ กลับเข้ารับราชการ ในกระทรวงทหารเรือ ในตำแหน่ง เจ้ากรมจเรทหารเรือ เนื่องจาก ประเทศไทย ได้เข้าสงครามโลก และทหารเรือยังขาด ผู้สามารถจริงๆ อยู่ขณะนั้น และต่อมาในวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๑ เสด็จในกรมฯ ได้รับพระราชทานยศเป็น นายพลเรือโท
เมื่อทรงเข้ารับราชการ ดำรงตำแหน่งจเรทหารเรือ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๐ แล้ว งานสำคัญที่ทรงทำในโอกาสแรก คือในวันที่ ๓ สิงหาคม เสนาบดี กระทรวงทหารเรือ ได้ให้เสด็จในกรมฯ ทรงเป็นผู้ตรวจอาวุธ ของเชลยที่ยึดได้ และให้ทรงออกความเห็น เกี่ยวกับอาวุธเหล่านี้ว่า พวกเยอรมัน จะคิดอ่านก่อการจลาจล ขึ้นในกรุงเทพฯ หรือไม่ เสด็จในกรมฯ ทรงออกความคิดเห็นที่สำคัญไว้ดังนี้
• "...ปืนแบบทหารที่มีดาบปลายปืนพร้อม จำนวน ๓๕ ปืน
กระสุนสำหรับปืนนั้นชนิดธรรมดา จำนวน ๒,๖๐๙ นัด
กระสุนชนิดขยายตัวได้ (ดัมดัม) จำนวน ๑๐๐ นัด
ปืนที่อาจจะใช้ในการรบได้ จำนวน ๓ ปืน
กระสุนธรรมดา จำนวน ๑๔๒ นัด
กระสุนชนิดขยายตัวได้ (ดัมดัม) จำนวน ๑๒๐ นัด
ปืนพก จำนวน ๓๗ ปืน
กระสุน จำนวน ๒,๙๑๓ นัด
แค่ปืนแบบทหารที่มีอยู่นั้น เป็นปืนที่ทหารเยอรมัน เลิกใช้มานานแล้ว การที่มีปืนประจำเรือค้าขาย เรือละ ๕ - ๖ ปืนเช่นนี้ มักจะเป็นเรือ ที่จะใช้กะลาสีจีน พวกนายเรือ และต้นกลไม่ไว้ใจ จึงได้มีปืนยาว เช่นปืนทหารที่รุแล้ว เป็นต้น เอาไว้ป้องกันตัว ตามจำนวนนายเรือ แลนายช่างกล คือปากเรือประมาณ ๓ - ๔ คนบ้าง ช่างกล ๒ - ๓ คน คนละปืน ส่วนลูกระเบิด รวมทั้งหมด มีจำนวน ๑๓๖ ลูก เป็นลูกระเบิดชนิด ที่ใช้ระเบิดปลา เรือค้าขายพวกชาวคอนติเนนต์ มักจะใช้กันโดยมาก เป็นเรือค้าขาย ประเทศเดนมาร์ก เป็นต้น เคยมีเสมอ แต่การที่เรือเหล่านี้มีอาวุธติดเรือเข้ามา ในลำน้ำเจ้าพระยา เกือบทั้งหมด ไม่ได้ลงทะเบียน ก็อาจจะทำให้เป็นที่น่าสงสัย ว่า เจ้าหน้าที่ทราบอยู่แล้ว หรือไม่ ถ้าไม่ได้บอกกล่าวแก่เจ้าหน้าที่ให้ทราบ ก็เป็นอันผิดพระราชกำหนดกฎหมาย ก็คงจำเป็นต้องสงสัยว่า จะคิดอ่านการจลาจลเป็นแน่
อีกประการหนึ่ง กระสุนปืนบางจำพวก ที่มีอยู่แต่ไม่มีตัวปืนนั้น ทำให้เป็นที่สงสัยว่า เจ้าของอาจจะทิ้งน้ำเสียก่อนการจับกุมเสร็จ ส่วนปืนทหาร และปืนที่อาจจะใช้รบได้ รวมกันมีจำนวน ๓๘ ปืนนั้น ถึงจะเอามาใช้ในการก่อความจลาจล ก็จะไม่เป็นประโยชน์มากนัก เพราะเป็นปืนที่ไม่มีซองกระสุน ซึ่งต้องบรรจุกระสุนทีละนัด (เว้นไว้แต่ ที่มีอยู่ในเรือพิษณุโลกเพียง ๔ ปืนนั้นเท่านั้น) การที่ปืนติดเรือมา ในลำน้ำเจ้าพระยาได้นั้น เจ้าหน้าที่ควรจะรู้จำนวนตัวปืน และกระสุนโดยละเอียดอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ได้ แสดงต่อเจ้าหน้าที่เลย ก็ต้องนับว่าผิด พระราชบัญญัติต้องเป็นที่สงสัย ในความมุ่งหมายที่สุด ถ้าจะคิดส่วนปืนที่ใช้รบได้ อันมีอยู่รวมกัน ๓๘ ปืน กับกระสุน ๒,๙๘๑ นัด นั้นคงคิดถัวกันได้ปืนละ ๗๘ นัด แต่การที่จะทิ้งน้ำเสียก่อน ก็อาจจะเป็นจำนวนมากขึ้น ถ้ามีแต่เพียงเท่านี้จริง ก็ดูไม่น่าจะคิดการจลาจล ได้สะดวก แม้แต่จะป้องกันตนเอง ก็ไม่พอแก่การ..."
เสนาธิการกระทรวงทหารเรือ
ครั้นวันที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ พ้นจากตำแหน่งจเรทหารเรือ เข้าทรงดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหารเรือ เมื่อเสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหารเรือนั้น ในปี พ.ศ.๒๔๖๓ เนื่องจากผลของการสำรวจ พื้นภูมิประเทศบริเวณสัตหีบ เสด็จในกรมฯ ทรงมีความเห็น ทางด้านยุทธศาสตร์ว่า สมควรใช้พื้นที่บริเวณ ตำบลที่สัตหีบสร้างเป็น ที่มั่นสำหรับ กิจการทหารเรือขึ้น ตามชายฝั่งและเกาะต่างๆ ในอ่าวสัตหีบ เพราะทำเลเหมาะแก่การ สร้างเป็นฐานทัพเรือ ตามพระราชประสงค์ ในด้านการป้องกันฐานทัพ ได้ทรงให้ความเห็นไว้ว่า ควรสร้างป้อมปืนใหญ่ขนาดตั้งแต่ ๑๖ นิ้ว ลงมาจนถึง ๔.๗ นิ้ว และปืนยิงเครื่องบินด้วย โดยพร้อมขึ้นไว้ บนยอดเกาะต่างๆ ในอ่าวสัตหีบ นอกจากนี้ ควรสร้างป้อมวางปืนใหญ่ชนิดต่างๆ เพื่อป้องกันการส่งทหารยกพลขึ้นบก ของข้าศึกด้วย ส่วนสถานที่ทำการ จะต้องที่สร้างสิ่งต่างๆ เช่น โรงพยาบาล โรงทหาร โรงงาน สถานีเรือบินทะเล การประปา การคมนาคม การสุขาภิบาล ฯลฯ ดังนั้นในวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๔ เสด็จในกรมฯ ในฐานะเสนาบดี กระทรวงทหารเรือ ได้มีลายพระหัตถ์ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานที่ดิน ที่สัตหีบ เพื่อเป็นกรรมสิทธิ์ แก่กองทัพเรือ ดังลายพระหัตถ์ ดังนี้คือ
ทรงตั้งฐานทัพเรือที่สัตหีบ
แผนกปกครอง กรมเสนาธิการทหารเรือ
วันที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๖๕ ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ตามหลักของยุทธศาสตร์ การทหารเรือ ซึ่งกล่าวถึงฝึกหัดบำรุงความชำนิชำนาญในทางทะเล ก็ย่อมยึดถือการอยู่ทะเล เป็นการใหญ่ ตลอดถึง การรวมทัพ ก็ดี ย่อมจะยึดถือ ไชยภูมิที่เหมาะ ในเขตร์นั้น ที่จะทำการ เป็นฐานทัพได้ เป็นหลักอีกส่วนหนึ่ง จึงทำให้ นายทหาร พรรคนาวิน ทั้งสิ้นแม้แต่ เป็นชาวต่างประเทศ ก็ย่อมเห็นด้วยพร้อมกันว่า สำหรับประเทศสยาม มีอยู่แห่งเดียวที่ควรเป็นหลัก เช่นนี้ได้ ก็คือ ที่อ่าวสัตหีบ ซึ่งมีคุณแลโทษดังต่อไปนี้
๑. อยู่เป็นสถานกลางของอ่าวสยาม
๒. เป็นต้นทางของ VITAL POINT คือแม่น้ำเจ้าพระยาดังแผนที่ A
๓. น้ำลึกพอที่จะเป็นอ่าวเรือใหญ่ หรือที่ฝึกซ้อมยิงตอร์ปิโดได้
๔. มีเกาะต่างๆ เป็นที่กำบังสำหรับเล็ดลอดออกกระทำการยุทธวิธีด้วยเรือเล็กได้สะดวก
๕. ที่บนบกไม่ได้ตกเป็นสิทธิ์ขาด ของผู้หนึ่งผู้ใด โดยทรงพระมหากรุณาให้เทศาภิบาลหวงห้ามไว้ เป็นพระคุณแก่ทหารเรืออย่างยิ่ง
๖. ทางบก มีทางติดต่อกับรถไฟสายปราจีณได้สะดวกไม่ต้องกลัว Isolation
๗. โดยข้อ ๖ นั้นเองอาจติดต่อกับกำลังทางทหาร และเป็นปีกหนึ่งของกองทัพบก ฝ่ายตะวันออกได้สะดวก
๘. เป็นที่ฝึกหัดทางทะเลได้ ตลอดทั้งสองมรสุมโดยเป็นที่กำบังมิดชิด
โทษ
๑. ในเวลานี้ยังไม่มีที่ขังน้ำจืด
๒. ในเวลานี้ยังกันดารด้วยเสบียงอาหาร
๓. ในเวลานี้ยังห่างจากคมนาคม กับกรุงเทพฯ คือยังไม่มีรถไฟ
๔. ถ้าจะให้เป็นที่มั่น จะเปลืองค่าป้อมและเครื่องกัน ในข้อนี้ไม่ว่าที่ใดที่เป็นฐานทัพแล้ว ต้องป้องกันทั้งสิ้น
๕. ในชั้นต้นนี้จะจัดเป็นฐานทัพยั่งยืนไม่ได้ โดยไม่มีทุนพอที่จะสร้างในเร็ววัน
๖. เวลานี้ความไข้ชุกชุมมาก เพราะเป็นที่รกร้างโดยไม่มีใครจะถากถาง เพราะยึดเป็นกรรมสิทธิ์ของตนไม่ได้
นอกจากที่กล่าวไปถึงคุณและโทษ ก็ยังมีแต่ที่เกี่ยวข้องกับการสงคราม โดยอากาศยาน ซึ่งไม่จำเป็นจะกล่าวไปถึง เพราะในที่นี้ จักกราบบังคมทูล พระกรุณาแต่เรื่องกองทัพเรือ เท่านั้น ถึงแม้จะทำเป็นสถานีอากาศยาน ชายฝั่งทะเล ก็คงต้องยึด กองทัพเรือ เป็นหลักสำคัญ คือถ้าไม่มีกองทัพเรือแล้ว กองอากาศยานก็จะตั้งไม่ได้ โดยปราศจากอันตราย เช่นที่กำลังเป็นอยู่ที่อ่าวมะนาว ข้าศึกในชั้นต้น ก็จำเป็นจะต้องใช้ แต่เพียงเรือเร็วขนาดเล็ก เข้าไปเผาผลาญทำลายโรงงานการเก็บ และซ่อมแซมหมดในไม่กี่ชั่วนาฬิกา ฉะนั้นในที่นี้จะขอพระราชทานงดกล่าว ถึงการสงคราม โดยทางอากาศยาน ที่กราบบังคมทูลพระกรุณา มาล้วนเป็นหลักประกอบ กับกองทัพเรือ โดยเฉพาะทั้งสิ้น
จำเดินตั้งแต่เสด็จพระราชดำเนินประพาสทะเล โดยเรือพระที่นั่งมหาจักรีลำเก่า เมื่อประมาณ ๑๐ ปี มานี้ พร้อมด้วยกองทัพเรือ ไปประทับในอ่าวสัตหีบ ได้ทราบเกล้าทราบกระหม่อมว่า ได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้มีการซ้อมรบทางเข้าตีด้วยเรือตอร์ปิโด ในที่สุดเมื่อทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ข้าพระพุทธเจ้าได้กลับเข้ารับราชการครั้งนี้เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ ได้ทราบเกล้าทราบกระหม่อมต่อไปว่า เมื่อเสด็จพระราชดำเนิน คราวนั้นนอกจากมี พระราชประสงค์จะสร้าง พระราชวัง ที่ตำบลแล้ว ยังมีพระราชประสงค์ ให้เทศาภิบาล เป็นผู้หวงห้ามที่ตำบลนั้นไว้ ตลอดตั้งแต่เกล็ดแก้ว ถึงแสมสาร ซึ่งเป็นที่ดินใหญ่โตมาก หวังพระราชทานที่ดินนี้ให้เป็นสิทธิ์แก่ทหารเรือ ซึ่งเป็นพระราชวินิจฉัยตรง ในทางยุทธศาสตร์การเรือโดยแท้ ผู้ที่เคยเล่าเรียน และมีอาชีพทางทหารเรือแท้ ย่อมสรรเสริญพระราชวินิจฉัยนี้อย่างยิ่ง
ตั้งแต่นั้นมาเทศาภิบาลมณฑลปราจีณ ก็ได้หวงห้ามที่ดินรายนี้ต่อๆ กันมาตามพระราชประสงค์จนบัดนี้ แต่มาคิดด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมว่า น่าจะเป็นการกลับกลายเข้าใจผิดไปบางข้อ โดยมีเหตุเกิดขึ้นเมื่อก่อน ๓ ปีคือ ก่อนที่ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบถวายบังคมลาออก ไปประเทศยุโรปคราวนำ ร.ล.พระร่วง เข้ามา ในคราวฝึกซ้อมตอร์ปิโดคราวนั้น ข้าพระพุทธเจ้า ได้เป็นแม่ทัพคุมกระบวนเรือ ออกไปฝึกซ้อม และทดลองสอบกระสุนตอร์ปิโดที่สัตหีบ เห็นด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมว่า การตั้งเครื่องหมาย และทดลองต่างๆ ภายในลูกตอร์ปิโด จะทำในเรือตอร์ปิโดไม่สะดวก เพราะที่คับแคบ ควรขึ้นทดลอง ไกน้ำ ไกบก หางเสือตั้ง หางเสือขวาง และการกระดกลูกตุ้มแผ่นน้ำ ให้ทดลองเสียบนบก ทั้งได้ทราบเกล้าทราบกระหม่อมว่า ที่ตำบลนี้ มีพระราชประสงค์ จะพระราชทาน ให้เป็นสิทธิ์แก่ทหารเรืออยู่แล้ว จึงได้บังอาจขึ้นไปถากถาง ที่จะทำโรง หรือปลูกเต็นชั่วคราว ที่แหลมเทียนตรงที่ กองเรือจอด เมื่อถางเสร็จ ได้มีกำนันมาห้าม ไม่ให้ถางต่อไป และไม่ให้ปลูกในที่นั้น อ้างว่าเป็นที่หวงห้าม เพื่อก่อสร้างพระราชวัง และได้อธิบายถึงเขตเหล่านี้ พร้อมด้วยลายลักษณ์อักษรประกอบด้วย
ในเวลานั้น จอมพลสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต ยังทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวง ทหารเรืออยู่ ข้าพระพุทธเจ้า จึงได้นำความขัดข้อง ขึ้นกราบทูลตามคำชี้แจงของอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัด และมีรับสั่งโดยทรงเห็นว่า เทศาภิบาล คงจะไม่เข้าใจ ในพระราชประสงค์ แต่ถึงอย่างไรก็ดี จำนวนเงินที่จะก่อสร้างต่อไปนั้น ไม่มีในงบประมาณ และถ้าจะใส่ ในงบประมาณคราวหน้า ก็จะเป็นจำนวนมากมาย เกรงด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม จะเป็นการโต้เถียง กับกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ไม่สะดวก และยังไม่จำเป็นนัก จึงเป็นอันระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน ครั้นต่อมาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา ภาณุพันธุ วงศ์วรเดช ได้ทรงกำกับ ราชการทหารเรือ ข้าพระพุทธเจ้าได้นำถวายเรื่องนี้อีก โปรดเกล้าให้ทำสกีม และในที่สุดได้ดำเนินการ ไปตามความเห็น ดังรายงานการประชุม สภาบัญชาการครั้งที่ ๒ ซึ่งทรงมอบให้ ข้าพระพุทธเจ้าดำริห์ และจัดการสำรวจพื้นที่ เพื่อที่จะได้นำขึ้น ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย บัดนี้แผนที่นั้นพึ่งได้ทำสำเร็จ ข้าพระพุทธเจ้า มาเห็นว่าที่นั้น ใหญ่โตมาก เหลือที่จะปกปักรักษา ถากถางได้ ถ้าแม้พระราชทาน ให้แก่ทหารเรือตามพระราชประสงค์เดิม ทหารเรือจำเป็นจะต้องแบ่งที่ทั้งหมด ออกเป็นสองตอน คือตอนหนึ่งที่ต้องการแท้ ต้องหวงห้ามกรรมสิทธิ์ กับอีกตอนหนึ่งไม่หวง แต่ไม่อยากให้ต่างประเทศมาจับจอง หรือรับซื้อไปได้ ข้าพระพุทธเจ้า ได้ขีดเส้นลงดังปรากฏ ในแผนที่ ซึ่งได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายมาพร้อมกับหนังสือฉบับนี้ ด้วยแล้ว การทั้งนี้ถึงแม้จะทรงพระราชดำริห์ เห็นชอบด้วยตามนี้ ก็จำต้องค่อยดำเนินการไปทีละเล็กละน้อย เพราะเป็นที่รกร้างมาก และประกอบด้วย ความไข้ชุกชุม ทั้งไม่มีใครจะกล้าถากถางลงไป เพราะไม่มีสิทธิ์ที่จะจองที่เหล่านั้นเป็นของตน ซ้ำยังมีผู้คอยห้าม การฟันไม้ถางป่า โดยเข้าใจผิดอีกชั้นหนึ่ง เช่นทหารเรือเองก็ถูกห้าม ประจวบกับทหารเรือ ยังไม่มีทุนพออยู่ด้วย แต่การประหยัดพระราชทรัพย์ ภายหน้า ทางทหารเรือก็จะได้ดำเนินการ เป็นการเข้มงวดขึ้น การก่อสร้างก็คงจะทำได้ปีละเล็กละน้อย โดยเลิกกองทหารระยอง และบางพระ มารวมเสียที่สัตหีบ บางพระเป็นย่านกลางแท ้กับทั้งบางพระ และบ้านแพ ระยอง ซึ่งเป็นสถานีนายทหารเรือ ก็ไม่ใช่เป็นที่ป้องกัน หรืออาศัยของกองทัพเรือได้ โดยเป็นอ่าวเปิดเผยมีหาดยาวยืด เรือเข้าใกล้ไม่ได้ เช่นสะพานน้ำต้องยาวถึง ๗ เส้น เป็นการเปลืองเปล่าแท้ ไม่เป็นประโยชน์ต่อเรือเลย ในการฝากเสบียงอาหาร ถ่านน้ำมัน ข้าพระพุทธเจ้ามองไม่เห็นว่า เหตุใดจึงเลือกที่เหล่านี้เป็นสถานี นอกจาก อากาศดีเท่านั้น
ตามที่ได้กราบบังคมทูลพระกรุณา มาแล้วนี้ ก็หวังอยู่ในพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อพระราชทานสิทธิ์ แก่กระทรวงทหารเรือ ให้มีอำนาจอนุญาต ผู้ที่จะจับจองทำไร่ ทำนาและถากถางตามควร ซึ่งไม่เกินขีดขั้นพระราชบัญญัติ การตัดไม้ ส่วนที่หวงห้ามแท้นั้น ก็จะได้เปิดใช้เช่า ทำโดยคิดราคาย่อมเยา ในปีแรกๆ เห็นด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมว่า คงจะมีผู้เช่าน้อย แต่ต่อไปสัก ๓ ปี เมื่อราษฎร ได้รับความสะดวก และเห็นผลจริงจังขึ้น กับทั้งนี้กองทหาร ไปตั้งก็จะชักชวนกันมาทำทวีมากขึ้น ความไข้ก็จะเสื่อมทราม โดยการถากถางเรียบราบลง เมื่อได้ถึงขั้นนี้แล้ว ทหารเรือคงจะก่อสร้างฐานทัพได้ ทั้งจะเป็นประโยชน์ ในการประหยัด พระราชทรัพย์ด้วย ในระหว่างนี้ คงทำแต่เพียงโรงเรือน พออาศัยชั่วคราวขึ้นก่อน เพื่อตั้งที่ทำการสรรพาวุธ พัสดุ เชื้อเพลิง และหาวิธีขังน้ำรับประทาน และขุดบ่อน้ำใช้การ ที่หลังทุ่งไก่เตี้ยก่อน ดังได้สำรวจแล้ว ในแผนที่ว่าเป็นบึงตื้นๆ การทั้งนี้จะสำเร็จลงได้ ก็ต้องอาศัยการประหยัดทรัพย์สิน ของทหารเรืออย่างอุกฤษฐ์ โดยที่ได้กราบบังคมทูลพระกรุณา มาในหนังสือของข้าพระพุทธเจ้า ฉบับก่อนนี้แล้ว ซึ่งแม้จะได้กล่าวถึง โรงเรียนพลทหารเรือที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ก็ยังหาได้กราบบังคมทูล กำหนดที่จะเลิกกองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๔ และที่ ๖ ไม่ ที่รอไว้ ก็เพื่อจะประสมรอย กับการที่สัตหีบนี้
ถึงแม้ยังไม่เป็นที่แจ่มแจ้งอย่างไร โดยความเขลา ของข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทาน บรมราชวโรกาศ อธิบายด้วยปาก พร้อมกับแผนที่ อีกชั้นหนึ่ง พระอาญาไม่พ้นเกล้าพ้นกระหม่อม การจะควรประการใดสุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า
อาภากร ขอเดชะ
นายพลเรือเอก เสนาธิการทหารเรือ
ต่อมาในวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๕ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานที่ดิน ที่สัตหีบให้แก่กองทัพเรือ เพื่อจัดตั้งเป็นฐานทัพเรือ ต่อไปดังพระราชกระแส ดังนี้
พระราชกระแสตอบเสนาธิการทหารเรือ
ลับ ที่ ๒/๒๔๙ วังพญาไท
วันที่ ๑๖ กันยายน พทุธศักราช ๒๔๖๕ ทูล กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ลายพระหัตถ์ที่ ลงวันที่ ๖ เดือนนี้ หารือเรื่องจะจัดสัตหีบเป็นฐานทัพเรือนั้น ตรงตามความปรารถนา ของหม่อมฉันอยู่แล้ว เพราะที่ให้สั่งหวงห้ามที่ดินไว้ ก็ด้วยความตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะใช้ เป็นฐานทัพเรือ และไม่อยากให้โจทย์กันวุ่น จึงได้กล่าวไว้ดังว่า สำหรับเผื่อจะมีผู้ขอจับจอง ฝ่ายเทศาภิบาล จะได้ตอบไม่อนุญาต ได้โดยอ้างเหตุว่า หม่อมฉันต้องการ เมื่อบัดนี้ทหารเรือจะต้องการที่นั้น ก็ยินดีอนุญาตให้ และให้สั่งไปยังกระทรวงมหาดไทยแล้ว
ราม ร.
ในวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๑ ได้ทรงกระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ อีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งนับเป็นครั้งที่สอง ที่พระองค์กลับมาดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ
จัดซื้อเรือหลวงพระร่วง
ในปี พ.ศ.๒๔๕๗ ข้าราชการทั้งหลาย พากันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว และได้ปรึกษากันในอันที่จะ แสดงความจงรักภักดี กตัญญูกตเวที บรรดาข้าราชการมีความเห็นว่า เป็นการจำเป็นที่ จะต้องมีการป้องกัน ราชอาณาจักร ทางทะเล จึงเห็นพ้องกันว่า ควรจะได้มีการช่วยกัน ออกทุนทรัพย์ คนละเล็กละน้อย เพื่อรวบรวม ซื้อหรือสร้างเรือรบ ถวายพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวสักลำหนึ่ง ในการดำเนินการจัดหาเงินทุนนี้ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และสะดวก จำเป็นต้องตั้ง เป็นสมาคมขึ้น พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบ และได้พระราชทาน ชื่อสมาคมที่จัดตั้งนี้ว่า "ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม" และทรงรับเป็น องค์อุปถัมภ์สมาคม พร้อมทั้งพระราชทาน พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ สมทบด้วย สำหรับเรือ ที่จะจัดซื้อนี้ได้รับพระราชทาน นามว่า "เรือหลวงพระร่วง"
เสด็จในกรมฯ ทรงได้รับพระกรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น ข้าหลวงพิเศษออกไป จัดสรรหาซื้อเรือในภาคพื้นยุโรป พระองค์ได้เสด็จ เสาะแสวงหาอยู่หลายประเทศ จึงได้ทรงพบเรือพิฆาตตอร์ปิโด ของบริษัททอร์นิครอฟท์ แห่งประเทศอังกฤษ ซึ่งมีชื่อเดิมว่า "เรเดียนท์" ทรงพิจารณาเห็นว่าเป็นที่เหมาะสม แก่ความต้องการของ กองทัพเรือ และเป็นเรือที่เพิ่งต่อขึ้นใหม่ จึงได้ทรงชี้แจง มายังกรรมการ ราชนาวีสมาคม ซึ่งคณะกรรมการ ของสมาคม ก็มีความเห็นชอบด้วย
เสด็จในกรมฯ ทรงเป็นผู้บังคับการเรือพระร่วง เองพร้อมด้วยนายทหารเรือไทย และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ซึ่งเป็นทหารเรืออังกฤษ นำเรือจากประเทศอังกฤษ เข้ามาถึง กรุงเทพมหานคร ปรากฏพระเกียรติยศ เป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทย สามารถเดินเรือทะเลได้ไกลถึงเพียงนี้ จึงถือเป็นเกียรติประวัติของราชนาวีไทย และเป็นการปรากฏ พระเกียรติคุณแห่งเสด็จในกรมฯ เรือหลวงพระร่วงได้เดินทาง เข้ามาถึงประเทศเมื่อ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ การต้อนรับ และการสมโภชเรือหลวงพระร่วง ได้เป็นไปอย่างมโหฬาร และเอิกเกริกอย่างยิ่ง ในพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชทานเลี้ยง เนื่องในการฉลอง เรือหลวงพระร่วง ณ สมาคมสหทัยสมาคม เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๔๖๓ ได้ทรงกล่าวถึงพระเกียรติคุณ ของเสด็จในกรมฯ ในการนำเรือพระร่วงมาสู่ประเทศไทยว่า
"...ส่วนกรมหลวงชุมพร ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วว่า เป็นนายทหารเรือไทยคนแรก ที่นำเรือรบไทยมาจากต่างประเทศได้ และที่ยากมากปานใด ในการนำมานั้น ท่านทั้งหลาย คงพอจะเดาเอาได้ เมื่อทราบว่าบรรดาลูกเรือนั้น เป็นชาวต่างประเทศทั้งนั้น และที่นำมาได้ โดยสวัสดิภาพ ก็แสดงให้เห็นได้ว่า เป็นผู้ชำนาญทะเลจริง นับว่าสมควร ที่จะได้รับความขอบใจ ของข้าพเจ้าและ เสด็จในกรมฯ ได้ทรงปฏิบัติราชการสืบมา จนได้รับพระราชทานเลื่อนยศจาก พลเรือโท ขึ้นเป็น พลเรือเอก เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๓ ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระอิสริยศักดิ์ เลื่อนจาก "กรมหมื่น" ขึ้นเป็น "กรมหลวง" เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๖๓ ดังประกาศ ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ฉบับวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๓ เล่ม ๓๗ และ ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดี กระทรวงทหารเรือ ทรงบัญชาการทหารเรือเต็ม ตามตำแหน่งดัง ประกาศตั้ง เสนาบดีในหนังสือราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ เล่มที่ ๔๐
สิ้นพระชนม์ที่ชุมพร
เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ก็ได้กราบบังคม ลาออกจากราชการ ไปตากอากาศ เพื่อพักผ่อน รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ ทั้งนี้ก็เพราะ เสด็จในกรมฯ ทรงมีสุขภาพ ไม่สมบูรณ์ และประชวร พระโรค ภายใน อยู่ด้วย ทางกระทรวง ทหารเรือ ได้สั่งให้กระบวนเรือที่ ๒ จัด ร.ล.เจนทะเล ถวายเป็นพาหนะ และกรมแพทย์ทหารเรือ ได้จัดนายแพทย์ประจำพระองค์ ๑ นาย พร้อมด้วยพยาบาลตามเสด็จไปด้วย เสด็จในกรมฯ ได้เสด็จออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ เสด็จในกรมฯ ได้เสด็จไปประทับ อยู่ที่ด้านใต้ปากน้ำ เมืองชุมพร ซึ่งเป็นที่เสด็จในกรมฯ ทรงจองไว้จะทำสวน ขณะที่เสด็จในกรมฯ ประทับอยู่ที่จังหวัดชุมพรนี้ ก็เกิดเป็นพระโรคหวัดใหญ่ เนื่องจากถูกฝน ทรงประชวรอยู่เพียง ๓ วัน ก็สิ้นพระชนม์ที่ ตำบลทรายรี ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ สิริพระชนมายุได้ ๔๔ พรรษา
ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ร.ล.เจนทะเล ได้เชิญพระศพ จากจังหวัดชุมพรมายังกรุงเทพฯ และมาพักถ่ายพระศพสู่ ร.ล. พระร่วง ที่บางนา ต่อจากนั้น ร.ล.พระร่วงได้นำพระศพ เข้ามายังกรุงเทพฯ นำพระศพประดิษฐาน ไว้ที่วังของพระองค์ท่าน พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พระราชทาน จนถึงวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศพ ไปพระราชทานเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวง
พระอิสริยศักดิ์
๒๓ มิถุนายน ๒๔๓๓ นายเรือโท เทียบเท่ายศ นาวาตรี ในปัจจุบัน
๓ พฤษภาคม ๒๔๔๔ นายเรือเอก เทียบเท่ายศ นาวาเอก ในปัจจุบัน
๕ พฤษภาคม ๒๔๔๗ พลเรือตรี
๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๔๗ กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์
๓๐ ธันวาคม ๒๔๖๐ พลเรือโท
๒๓ เมษายน ๒๔๖๓ พลเรือเอก
๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๖๓ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ตำแหน่งหน้าที่ราชการ
ทรงรับราชการในตำแหน่งต่างๆ ของกองเรือ ตามหลักฐานที่ปรากฏ
ผู้บังคับการเรือ ร.ล. มูรธาวสิตสวัสดิ์ ๒๔๔๓
รองผู้บัญชาการกรมทหารเรืออีกตำแหน่งหนึ่ง ๑๖ กันยายน ๒๔๔๔
รองผู้บัญชาการกรมทหาร ๒๕ ตุลาคม ๒๔๔๗
เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ๑ มีนาคม ๒๔๔๘
ผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
(ยกฐานะกรมขึ้นเป็นกระทรวงทหารเรือ) ๒๓ ธันวาคม ๒๔๕๓
เสด็จอออกประจำการชั่วระยะหนึ่ง ๑๔ เมษายน ๒๔๕๔
จเรทหารเรือ ๑๕ มกราคม ๒๔๖๐
เสนาธิการทหารเรือ ๑ สิงหาคม ๒๔๖๐
เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ๒๗ กันยายน ๒๔๖๑
รักษาการณ์ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ๑๓ ตุลาคม ๒๔๖๕
เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ๑ เมษายน ๒๔๖๖
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
ทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นบำเหน็จความชอบ ดังต่อไปนี้
ประถมจุลจอมเกล้าวิเศษ ๒๑ กันยายน ร.ศ. ๑๑๙ (๒๔๔๐)
มงกุฎสยามชั้น ๑ มหาสุราภรณ์ ๑๗ มกราคม ๒๔๔๗
เข็มเงิน เสด็จประพาสยุโรป ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๕๐
เข็มพระชนมายุสมมงคลชั้น ๑ ทองคำลงยา ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๒
เหรียญบุษปมาลากาไหล่ทอง ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๒
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๕ ชั้นที่ ๒ ๓๐ มกราคม ๒๔๕๓
เข็มข้าหลวงเดิม ๑๔ สิงหาคม ๒๔๕๔
มหาโยธินรามาธิบดี ๒๓ กรกฎาคม ๒๔๖๑
ประถมาภรณ์ช้างเผือกชั้นที่ ๑ ๓๐ ธันวาคม ๒๔๖๑
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๖ ชั้นที่ ๑ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๖๔
ตรารัตนาวราภรณ์ ๓๐ ธันวาคม ๒๔๖๔
เหรียญจักรมาลา ๑๓ มีนาคม ๒๔๖๕
เหรียญราชินี นพรัตน์ราชวราภรณ์ มหาจักรีบรมราชวงศ์
วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น